Sign in with:
Google

จับเข่าคุยหนังสยองขวัญในวันวาน จาก 4 ผู้กำกับหนังผี

Updated at: 2024-12-06 18:15

รำลึกความสยองของหนังผีในตำนานกับ 4 ผู้กำกับแห่งบ้าน GDH ‘กอล์ฟ-ปวีณ, โต้ง-บรรจง, โอ๋-ภาคภูมิ และจิม-โสภณ’

จะมีหนังเรื่องอะไร และสยองขวัญแค่ไหน คลุมโปงแล้วตามมาอ่านกันได้เลย

 

 A Nightmare On Elm Street (1984) 

พี่จิม-โสภณ :
“ตอนเด็กเราไม่สามารถเลือกหนังดูเองได้ เราเลยดูหนังตามพ่อแม่ เวลาดูหนังพวกนี้ เราจะสะดุ้งตกใจ ซึ่งเป็นความสนุกอย่างหนึ่ง เพราะทุกครั้งที่เราตกใจเราจะหัวเราะกัน ที่บ้านเลยชอบดูหนังผี โมเมนต์ของการอยู่รวมกัน ดูหนังผีด้วยกัน ผมว่าเป็นโมเมนต์ของความสนุก เหมือนเราไปเล่นบ้านผีสิงอะไรแบบนี้

การที่เราโตมากับหนังผี ผ่านเรื่องราวมามากมาย แบบดูมาเยอะ แล้วพอได้มาทำหนังในคณะ ก็เลยรู้สึกว่าอยากทำแนวตื่นเต้น ตกใจ ซึ่งพอทำหนังสั้นมาฉายในคณะ ปรากฏว่าโมเมนต์ของการดูร่วมกันแล้วมีเสียงคนกรี๊ด คนเฮ หรืออารมณ์ของการกลัวผี มันสนุกนะ รู้สึกชอบทำหนังแนวนี้

อย่างเรื่อง A Nightmare On Elm Street สิ่งที่ผมกลัวสุดในตอนเด็กก็คือ เฟรดดี้ ครูเกอร์ ที่เวลาหลับไปแล้วจะเจอผีเฟรดดี้มาตามฆ่าในฝัน แล้วถ้าหากเราตายในฝัน ตื่นขึ้นมาก็จะตายจริง ๆ ตอนดูเรากลัวมาก กลัวไอ้เฟรดดี้มันโผล่มาในชีวิตจริง ”

พี่โต้ง-บรรจง : 
“คุณรู้ไหมว่าหนังเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากโรคไหลตาย เป็นโรคลึกลับที่คนเป็นจะตื่นจากฝันร้ายแล้วตายในตอนดึก ประมาณว่าแม้คุณหลับฝัน คุณก็หนีไม่พ้นความตาย เขาเลยเอามาเป็นแรงบันดาลใจในการทำหนังเรื่องนี้”

พี่โอ๋-ภาคภูมิ : 
“รู้สึกว่าวิธีฆ่าแต่ละวิธีของเฟรดดี้ ครูเกอร์ นี่ครีเอทีฟมากเลยนะ มันมีความกวน มีความตลก แล้วก็มีภาพโหด ๆ แบบกึ่ง Extreme อย่างภาพที่จำได้คือ มีคนที่โดนดูดลงไปในเตียงแล้วกลายเป็นเลือดลอยพุ่งขึ้นไปบนเพดานเหมือนน้ำพุ เศษซากของศพก็จะเละติดบนเพดาน รู้สึกว่าภาพมันน่าสนใจและสยองมาก ๆ”

พี่กอล์ฟ-ปวีณ : 
“มีซีนที่เฟรดดี้ตัวใหญ่เบ้อเริ่มเท่าตึก แล้วมันก็เชิดเหยื่อให้กระโดดตึกลงมา เป็นภาพที่แฟนตาซีมาก ๆ แบบว่าล้ำ คิดได้ไง”

พี่โอ๋-ภาคภูมิ : 
“เหมือนมันทะลึ่ง ชอบฆ่าแต่วัยรุ่นใช่ไหม”

พี่โต้ง-บรรจง : 
“แต่หนังยุคนั้นมันจะแอบโป๊ ๆ นะ ตอนเด็กจำได้ว่ามีเรื่องนี้และ Friday 13th ที่จะโป๊ ๆ หน่อย”

พี่จิม-โสภณ : 
“ตัวละครเฟรดดี้ มีผลกับการทำหนังของเรามาก จำได้ว่าพอมีโอกาสทำหนังครั้งแรก เรื่องโปรแกรมหน้า ก็มานั่งนึกว่าอยากทำอะไรที่เรารู้สึกกลัวและอินกับมันจริง ๆ ซึ่งผมจำความรู้สึกของการดูเฟรดดี้ได้ว่าไม่กล้าไปเข้าห้องน้ำ

ผมเชื่อหลาย ๆ คนเป็น ไม่กล้าไปเข้าห้องน้ำตอนดึกหลังดูหนังผีเสร็จ เพราะกลัวว่าผีในหนังจะออกมาในโลกความเป็นจริง เลยได้ไอเดียว่าถ้าเราดูหนังเรื่องหนึ่ง แล้วเกิดผีชบาในเรื่องโผล่มาในชีวิตจริง ออกมาหลอกหรือฆ่าเราได้ จะเป็นยังไง”

 

 ผีตาโบ๋ (1981) 

พี่กอล์ฟ-ปวีณ : 
“ผมเคยไปดูเรื่อง ผีตาโบ๋ ในโรงกรุงเทพราม่าแถวบ้าน ฉากที่จำได้เลย คือ ฉากที่ผีมายืนอยู่หน้าบ้าน นอกประตู ที่ตามันโบ๋ แล้วตะโกนว่า เอาตากูคืนมาาาา!! มันน่ากลัว เป็นผีที่จำฝังใจมาก ๆ ในตอนเด็ก”

พี่โต้ง-บรรจง : 
“สมัยก่อนตั้งชื่อหนังแบบเข้าสู่โปรดักส์สุด ๆ เหมือนกันนะ อิมแพคมาก” 

 

 Hellraiser (1987) 

พี่โต้ง-บรรจง : 
“อีกเรื่องที่จำได้ตอนเด็กคือไอ้หัวตะปู Hellraiser”

พี่โอ๋-ภาคภูมิ : 
“ผมจำเนื้อเรื่องไม่ค่อยได้ แต่จำความรู้สึกตอนดูได้ว่ามันโหดมาก มันแหวะ สะใจ แล้วไอ้ตัวหลักที่ชื่อ พินเฮด เหมือนเป็นไอคอนของหนังเลยในตอนนั้น”

 

 The People Under The Stairs (1991) 

พี่โต้ง-บรรจง :
“ช่วงวันหยุดยาวตอนเด็ก ผมมักจะไปรวมตัวที่บ้านญาติแล้วก็เช่าหนังผีมาดูกัน รวมตัวขดกันบนเตียงเล็ก ๆ ใต้ผ้าห่ม ประมาณ 5-6 คน ทั้งบ้าน ถ้าเรื่องไหนทำให้พวกเราแหกปากดังลั่น ถือว่าหนังเรื่องนั้นประสบความสำเร็จ ซึ่งเรื่องที่จำได้สุด ๆ ก็คือ The People Under The Stairs เป็นหนังที่แหกปากลั่นที่สุด”

พี่จิม-โสภณ : 
“เรื่องนี้จะมีบ้านแปลก ๆ ที่ชอบเอาเด็กมาอยู่ในบ้านเหมือนเป็นลูกตัวเอง แล้วในบ้านจะมีกลไกเยอะ มีช่องระหว่างกำแพง ซึ่งมีโจรคนหนึ่ง ชวนเด็กคนนึงเข้าไปทำทีเป็นลูกเสือดูลาดเลา แต่ตั้งใจจะเข้าไปขโมยทองคำ สุดท้ายก็ติดอยู่ในบ้านและออกมาไม่ได้ เพราะมีคนโรคจิตกับหมาตัวใหญ่คอยดัก เหมือนเกมแมวไล่จับหนูในบ้านค่ายกล ตอนดูหนังเรื่องนี้ตกใจบ่อย เพราะเล่นตุ้งแช่เยอะมาก”

 

 CANDYMAN (1992) 

พี่โต้ง-บรรจง : 
“มีอีกเรื่องที่จำได้ดี ตอนนี้กำลังมีรีเมคด้วย คือ Candyman เคาะนรก 5 ครั้ง วิญญาณไม่เรียกกลับ ตอนเด็กนี่แบบเนิร์ดลองทำตามตัวละครในหนัง เวลาพูดชื่อ Candyman ตามกระจก 5 ครั้ง จะมีปีศาจออกมาฆ่า พอผมพูดถึงครั้งที่ 4 อารมณ์ในตอนนั้นแบบขนหัวลุกเลย” 

พี่กอล์ฟ-ปวีณ : 
“แต่ผมไม่กลัวนะ ฮ่า ๆ อาจเพราะว่าดีไซน์ของตัวปีศาจไม่ได้ดูเป็นผีแบบจัด ๆ มันเหมือนคนทั่วไปมากกว่า”

พี่โต้ง-บรรจง : 
“ตอนดูไม่กลัว แต่เรื่องการเรียกชื่อแล้วออกมาฆ่าในชีวิตจริง อันนี้กลัวมาก”

พี่จิม-โสภณ : 
“เหมือนจะวัดใจเราว่ากล้าลองของจริงหรือป่าว”

 

 The Sixth Sense (1999) 

พี่โอ๋-ภาคภูมิ :
“เรื่องนี้ผมอยากพูดถึงซีนที่คิดว่าไม่น่ากลัว แต่สมบูรณ์แบบมากในหนังผี เป็นซีนที่แม่ลูกอยู่ในรถติด ตอนนั้นเหมือนเรื่องเริ่มจะคลี่คลายแล้ว ลูกบอกว่าเห็นคุณยายที่ตายไปแล้ว แล้วแม่ก็บอกว่าทำไมพูดแบบนี้ ลูกก็พูดประมาณว่ายายภูมิใจในตัวแม่มาก มันทั้งเฉลยเรื่องผีและปมของตัวละครได้ดีมาก ๆ มีความน่ากลัว มีความดราม่า เหมือนเอาคำตอบมาก่อนคำถาม เป็นการแอบซ่อนที่ดี มันไม่ได้บอกคนดูตรง ๆ แต่โคตรซึ้งเลย"

พี่โต้ง-บรรจง :
“เหมือนกับว่าแม่เคยไปพูดอะไรไว้ที่หลุมศพคุณยาย แล้วลูกตอบว่า Every day (แปลว่า ทุกวัน) เป็นซีนที่เนิร์ดมาก ผมดูซีนนี้บ่อย แล้วแม่ก็เฉลยกับลูกว่าคำที่ไปพูดหน้าหลุมศพคือ Do I make her proud ? (แปลว่า แม่ภูมิใจในตัวหนูไหม) ซึ่งพอมันไปต่อกับคำพูด Every day แล้วโคตรจี๊ดเลย
ซึ่งจริง ๆ มันต่อเนื่องมาจากฉากสยอง ที่ผมรู้สึกว่ามันคลาสสิกตลอดกาล ก็คือซีนรถติดนั่นแหละ ที่ลูกบอกว่าอุบัติเหตุร้ายแรงมากเลย แล้วแม่ถามว่าลูกเห็นเหรอ ไหน ๆ คนบาดเจ็บ แล้วลูกก็บอกว่า Standing next to my window (แปลว่า ยืนอยู่ข้างหน้าต่างผม) ภาพก็ตัดไปที่มีผู้หญิงสภาพเละยืนอยู่ข้างหน้าต่างรถ โอ้โห..โคตรน่ากลัวเลย คือเขียนได้ยังไง เก่งจริง ๆ”

 

 Tale Of The Unusual ตอน One Snowy Night (2000) 

พี่โอ๋-ภาคภูมิ :
“ตั้งแต่เด็กจนโต ผมไม่ค่อยได้ดูหนังผี เพราะเป็นคนกลัวผีมาก ถ้าใครเปิดดูผมก็จะเลี่ยง ๆ พวกละครผีถ้ามาจะกดเปลี่ยนช่องเลย ถ้าอยู่กับกลุ่มเพื่อนเยอะ ๆ ถึงจะกล้าดู เวลานอนจะต้องเปิดไฟตลอด 

ได้มาดูเยอะ ๆ ก็ตอนทำโฆษณาที่ฟีโนมีนา แต่ก่อนผมรู้สึกว่าหนังผีมันเชยเพราะโปรดักชันส์มันดูเกรดบี พอช่วง the ring, The Sixth Sense น่าจะประมาณปี 2000 เริ่มมีแรงบันดาลใจ รู้สึกว่าหนังผีมันทำให้ดี ๆ ได้นี่หว่า มันมีประเด็นดี ๆ มีซีนน่ากลัวที่ดีได้ 

อย่างเรื่อง Tale of the unusual มันจะเป็นหนังสั้น 4 ตอน ไม่ใช่หนังผีทั้งหมดหรอก จะมีทริลเลอร์บ้าง ผีบ้าง ผสมกัน ส่วนตอนที่ชื่อว่า One Snowy Night น่ากลัวมาก เป็นเรื่องเกี่ยวกับคนกลุ่มหนึ่งที่ขึ้นเครื่องบินแล้วเครื่องไปตกที่ภูเขาหิมะ ทุกคนต้องเอาชีวิตรอด จนเดินไปเจอกระท่อมหนึ่ง ซึ่งจะมีผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินไม่ไหวแล้ว ทุกคนเลยตัดสินใจทิ้งผู้หญิงคนนี้ไว้กลางทาง แล้วทุกคนก็หนีเข้ากระท่อมไป เหมือนปล่อยให้ตายเพราะทุกคนแบกไม่ไหว ต่อให้เป็นเพื่อนก็ต้องทิ้งเพราะมันหนาวมาก ปรากฏว่าพอเข้าไปในกระท่อมก็เจอเรื่องหลอน 

พอทุกคนเข้าไปในกระท่อม ก็นอนพักคนละมุม ซึ่งมี 4 มุม ก็จะมีคิวที่ทุกคนต้องตื่นมาเฝ้าเวร พอครบชั่วโมงนึงก็ต้องไปปลุกอีกคนที่อยู่อีกมุมนึง ทำอย่างนี้วนไปเรื่อย ๆ จนไปถึงคนสุดท้าย ครบมุมพอดี ปรากฏว่าดันมีคนเกินขึ้นมา แล้วตอนนั้นรู้สึกว่าโคตรน่ากลัวเลย โปรดักชันส์ดี บรรยากาศมันติดตา จำได้ว่ายังคิดถึงหนังเรื่องนี้ตลอดเวลาเลย”

 

 28 days later (2002) 

พี่จิม-โสภณ :
“เราโตมากับหนังซอมบี้ที่มันเดินช้า ๆ มาโดยตลอด อย่างเช่นเรื่อง Dawn of the Dead (1978) พอมาดู 28 days later ครั้งแรก เราไม่เคยรู้มาก่อน ไม่เคยดูตัวอย่าง ไม่รู้ว่าผีมันวิ่งเร็ว จำได้ว่ามันมีซีนที่พระเอกนอนโคม่าแล้วตื่นขึ้นมาในตอนที่ทุกคนไปหมดแล้ว หลังจากเหตุการณ์ระบาดของเชื้อ 28 วัน พอมันค่อย ๆ เดินสำรวจเมืองไปตามถนน เข้าไปในโบสถ์ แล้วเห็นมีคนนอนอยู่เฉย ๆ พอส่งเสียงดังปุ๊ป ไอ้คนนั้นก็ลุกขึ้นมาแล้ววิ่งตรงเข้าไปหาพระเอกอย่างเร็ว

จำได้ว่ากลัวมาก อาจไม่ใช่ซีนที่พิเศษ แต่ว่ามันเป็นโมเมนต์แรกของการเห็นซอมบี้วิ่งในโลกของภาพยนตร์ แล้วหลังจากนั้นมาซอมบี้เดินไม่ได้แล้วนะ ต้องแข่งกันวิ่งให้เร็วที่สุด”

พี่โต้ง-บรรจง : 
“น่าจะเรื่องแรกเลย เป็นนวัตกรรมมากเลย” 

พี่กอล์ฟ-ปวีณ : 
“ใช่ ๆ ซอมบี้เดินนี่กลายเป็นหนังตลกอย่างเดียวเลย”

พี่จิม-โสภณ : 
“มันเปลี่ยนโลกไปเลย เซ็ตเทรนด์ใหม่ของซอมบี้โลกนี้ขึ้นมา คือรู้สึกชอบ เซอร์ไพร์สซีนนี้มากๆ ”