Sign in with:
Google

ส่งต่อแรงบันดาลใจไปกับ 2 ครีเอเตอร์ของ 'สงครามส่งด่วน'

Updated at: 2025-08-19 23:21

ถ้าแรงบันดาลใจสามารถส่งต่อกันได้ เหมือนส่งพัสดุผ่าน Thunder Express, ผู้รับกล่องๆ นั้น อาจมีจำนวนเท่าภูเขาพัสดุกองยักษ์ใหญ่ที่ปรากฏอยู่ในฉากหนึ่งของ ‘สงคราม ส่งด่วน’  ซีรีส์ NETFLIX ที่ผลิตโดย GDH เพราะหลายเสียงต่างบอกว่า เมื่อดูซีรีส์จบแล้ว มันเกิดเรี่ยวแรงอยากลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง!
.
จากความประทับใจแรกที่ได้ฟังบทสัมภาษณ์ของ ‘คนต้นเรื่อง’ ผ่านพอดแคสต์รายการหนึ่ง ‘เก้ง–จิระ มะลิกุล’ และ ‘วัน–วรรณฤดี พงษ์สิทธิศักดิ์’ มองเห็นพลังของเรื่องราวที่ไม่ธรรมดาของชีวิตอดีตเด็กดอย ผู้เติบโตมาท่ามกลางข้อจำกัดและจุดเริ่มต้นที่ติดลบ แต่สามารถก้าวทะยานไปเป็นผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพยูนิคอร์นรายแรกของไทย มูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท  เส้นทางชีวิตที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ นี้จุดเริ่มต้นของซีรีส์ “สงคราม ส่งด่วน”

.

“การทำงานเบื้องหลังในทุกชั้น ทุกแผนก ถูกทดสอบและท้าทายด้วยชาเลนจ์ที่ยิ่งใหญ่ เราทุกคนพยายามก้าวข้ามภูเขาแห่งความท้าทายนั้นไปให้ได้ พลังของเรื่องนี้ทำให้รู้ว่า ถ้าจะทำต้องทุ่มให้สุด มีเท่าไหร่ ต้องใส่ให้หมด เพราะเมื่อซีรีส์เสร็จสมบูรณ์แล้ว พลังนั้นจะส่งต่อไปถึงผู้ชม” พี่วันกล่าว
.
มาร่วมฟังมุมมองจากสองครีเอเตอร์ของ ‘สงคราม ส่งด่วน’ กับการส่งต่อแรงบันดาลใจ ผ่านเรื่องราวของคนธรรมดาผู้ไม่เคยยอมแพ้ ยอมทุ่มเทหมดหน้าตักเพื่อความฝัน ในซีรีส์ที่ยังรอให้คุณได้รับชม ตีความ และก้าวข้ามทุกอุปสรรคในแบบของตัวเอง รับชมได้แล้ววันนี้ทาง NETFLIX
 

จากคนต้นเรื่อง สู่เรื่องราวที่ได้รับแรงบันดาลใจจากยูนิคอร์นตัวแรกของเมืองไทย

พี่วัน : “ความรู้สึกแรกที่ได้ฟังบทสัมภาษณ์ของคนต้นเรื่อง สตอรี่ของเขาให้แรงบันดาลใจเรามาก คนเคยเป็นเด็กดอย อยู่ในสภาวะที่เหมือนจะติดลบ แล้วสามารถก้าวไปสู่การเป็นยูนิคอร์นรายแรกของประเทศไทยได้ เส้นทางนี้มันสร้างแรงบันดาลใจให้คนดูได้แน่นอน เลยเกิดความรู้สึกว่า เราอยากทำเรื่องนี้”
.
“ที่สำคัญการทำซีรีส์เกี่ยวกับธุรกิจขนส่ง มันจะเอื้อให้เรามีแอ็กชันทางภาพที่สนุก ตื่นตาตื่นใจ เรื่องมีความฉับไวเคลื่อนไหว โปรดักชันก็ต้องอลังการเพราะมันเป็นธุรกิจระดับ 30,000 ล้าน แล้วก็ต้องมีการเชือดเฉือนกันทางธุรกิจ ทั้งหมดนี้เป็นโจทย์ในหัวของเราเอง เพราะฉะนั้น เราจึงตั้งใจแต่แรกอยู่แล้วว่าจะทำเรื่องนี้อยู่ในกรอบของคำว่า Inspired by true story คือ บันดาลใจจากเรื่องจริงแต่จริงๆ แล้วเป็นเรื่องแต่ง เราไม่อยากไปกังวลกับเรื่องจริงมากเกินไป เราอยากให้ซีรีส์มันบันเทิงให้มันดูสนุก เราก็คุยกับคนต้นเรื่องตั้งแต่แรกเลยว่า จะขอใช้แรงบันดาลใจจากเหตุการณ์ในชีวิตของเขา มาแต่งต่อเป็น Fiction (เรื่องแต่ง) นะ เราจะใส่สีใส่ไข่ ผูกเรื่อง สร้างความสัมพันธ์ สร้างตัวละครที่ในชีวิตจริงเขาไม่มีขึ้นมาเยอะแยะเลยนะ เราจะตั้งชื่อตัวละครใหม่ ชื่อบริษัทใหม่ เขาจะได้ไม่ต้องมารับผิดชอบอะไรกับการโม้ของเรา เพราะชีวิตจริงหรือเรื่องราวในบริษัทของเขาอาจไม่ได้เป็นแบบในซีรีส์เราเลยก็ได้”
.
พี่เก้ง : “เรื่องราว Underdog เราก็ดูมาเยอะ แบบคนไทยถีบตัว ตั้งตัวได้ แต่สำหรับเรื่องนี้ สิ่งที่คนต้นเรื่องโดนใจผมมาก คือเรื่องที่เขามีความสามารถในการใช้ ‘ภาษาจีน’ คือคนรุ่นผมจะฝังหัวว่า มึงต้องได้ภาษาอังกฤษ แล้วมึงจะอยู่เหนือคนส่วนใหญ่ ซึ่งในเรื่อง สันติอยู่บนดอยที่เชียงรายที่เต็มไปด้วยคนจีนอพยพ ภาษาจีนจึงเชื่อมโยงปรัชญาการทำงานแบบจีนเข้ามาในเขาโดยไม่รู้ตัว อย่างตอนดีลกับรุ่ยเจี๋ยได้สำเร็จ มันคือผลพวงของการที่เขารู้ภาษาจีนเลยนะ ธุรกิจและการทำงานของเขาเติบโตอย่างโดดเด่นไม่ซ้ำใคร เพราะฉะนั้น ถ้าถามผมว่า ทำไมสันติเขาถึงได้เป็นยูนิคอร์นตัวแรกของไทย ผมก็จะตอบหยาบๆ ว่า เพราะเขาเป็นคนไทยที่ใช้ภาษาจีน แล้วทุกอย่างสามารถเชื่อมโยงกับตัวตนของเขาในส่วนนี้ได้หมดเลย”
.
พี่วัน : “สันติเขาไม่มีต้นทุนอะไรเลยในชีวิต อาวุธเดียวที่เขามีคือ ภาษาจีน กับความคิดปรัชญาการค้าแบบจีน ที่ส่วนใหญ่เขาคิดขึ้นมาด้วยตัวเองด้วยนะ ถ้าเทียบเคียงกันมันเหมือนกับว่า ในชีวิตเรา อาวุธที่เราจะใช้ต่อสู้ในการทำงาน ในการทำธุรกิจ หรือการใช้ชีวิตของเรา มันจะเป็นอะไรก็ได้ แต่เราคงต้องมีซักอาวุธนึงที่จะเอาไว้ต่อสู้กับโลกนี้ ซึ่งสำหรับสันติปรัชญาความคิดและภาษาจีนคือทุนเดียวของเขา”

ฟีดแบคที่ได้รับ เท่ากับ Passion ที่ถูกส่งต่อ

พี่วัน : “สำหรับกระแสตอบรับของ สงคราม ส่งด่วน ถามว่าคาดหวังว่าฟีดแบ็กจะขนาดนี้มั้ย ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะขนาดไหน เพราะเราไม่เคยทำซีรีส์ลง NETFLIX นี่เป็นสนามใหม่ของเราเหมือนกัน ก็เลยไม่รู้ ก็คิดแค่อยากทำให้ซีรีส์จะสนุก เราสนุกคนดูก็น่าจะสนุก แต่ด้วยพลังที่เราสัมผัสได้ว่า โห! เรากำลังจะทำเรื่องที่มันพลุ่งพล่านเหลือเกิน ตัวละครของเรากล้าบ้าบิ่นขนาดนี้ มันก็น่าจะเวิร์คนะ อย่างเวลาเลือกผู้กำกับ เราก็เลือก ไก่ ณฐพล บุญประกอบ ด้วยความรู้สึกว่านี้คือคนที่มีพลังมีแรง Passion นำชีวิต ฝีมือมันต้องมีอยู่แล้วแต่ก็ต้องมีส่วนนี้ด้วย ในส่วนของนักแสดง เราก็เลือกด้วยความรู้สึกแบบเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น ไอซ์ซึ จุดเด่นคือเขามี Passion ในการแสดง มันทำให้เรากล้าเลือกเขา ทั้งๆ ที่เขาพูดจีนไม่ได้เลย เพราะเราเชื่อว่า ไอซ์ซึจะทำมันจนได้” 

 .

“การทำงานโปรดักชันทุกชั้นทุกแผนกก็เช่นกัน ทุกคนโดนทดสอบด้วยชาเลนจ์ที่ใหญ่มาก เราทุกคนต้องพยายามก้าวข้ามภูเขาแห่งความท้าทายไปให้ได้ อย่างที่ไก่ กับทีมโปรดักชันเคยให้สัมภาษณ์ไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโลเคชัน 128 ที่, ทีมอาร์ต ทีมพร็อพเซ็ตกล่องกันเป็นหมื่นๆ กล่อง การถ่ายทำ 78 คิว ตลอดการระยะเวลา 5 เดือน ตัวประกอบมากมาย ทุกอย่างมันเยอะและใหญ่กว่าทุกๆ โปรดักชันที่เราเคยทำ การตัดต่อ การทำโพสต์มหากาพย์หมดเลย เหมือนทำหนังสามเรื่องพร้อมกัน เพราะฉะนั้น ถ้าจะทำ ต้องทุ่มให้สุด มีเท่าไหร่ ต้องใส่ให้หมด เพราะเมื่อซีรีส์เสร็จสมบูรณ์แล้ว พลังนั้นจะส่งต่อไปถึงคนดู”
.
“ถึงตอนนี้ฟีดแบ็กที่เราแฮปปี้มาก คือเวลาคนดูบอกว่า เขาดูแล้วได้พลังบวก ไม่ว่าเขาจะเอามันไปใช้ทำอะไรก็ตาม จะเป็นการเรียน การงานหรือการสู้กับธุรกิจที่อาจกำลังเริ่มมีปัญหา หรือจะลุกขึ้นมาทำอะไรเป็นครั้งแรกก็แล้วแต่ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ มันคือข้อพิสูจน์ว่าพลังที่เราใส่ลงไปมันส่งไปถึง”

 .

พี่เก้ง : “ผมคิดว่าที่คนรู้สึกกับซีรีส์เรื่องนี้มาก อาจเป็นเพราะว่า มันใกล้ชิดคนดู ยิ่งดูไป เราก็ยิ่งใกล้ชิดกับตัวละคร เราเคยเห็นคนเหล่านี้จริงๆ ในสังคม ทั้งคนที่ใช้แรงงาน คนพูดภาษาใต้ อะไรต่างๆ นานา แล้วความพิเศษทางด้านการทำฉาก พร็อพต่างๆ มันทำให้เราเชื่อในโลกของตัวละครนี้ได้จริงๆ คือผมว่าคนดูส่วนน้อยนะที่จะเคยเห็นโกดังคัดแยกพัสดุ แต่พอเห็นภาพในซีรีส์ มันเชื่อและให้ใจไปเลย พร้อมเข้าไปผจญภัยกับตัวละคร เมื่อในตอนท้าย พวกเขาประสบความสำเร็จ เราจะรู้สึกว่าเขาเป็นมากกว่าแค่ตัวละคร รู้สึกว่าเขาเป็นคนนึงที่เราก็เป็นได้ นี่ไม่ใช่ตัวละครแล้ว มันเป็นตัวเราเองนี่หว่า คนดูจะรู้สึกว่า ชีวิตเขามีความหวังว่ะ ถ้าดูฝรั่งเล่นหรือคนชาติอื่นเล่นก็อาจจะเป็นอีกแบบ แต่นี่มันเป็นคนไทยเล่น แล้วซีรีส์ยังบอกว่าแรงบันดาลใจมาจากคนไทยจริงๆ”
.
“ท่ามกลางความหมดหวังในสังคม ปัญหารุมเร้าทางเศรษฐกิจ คนๆ นี้เป็นเหมือนยาชูใจเล็กๆ พอดูจบ 7 EP ก็เหมือนว่า กูคงต้องทำอะไรสักอย่าง ง่ายที่สุดคือโพสต์ความคิดเห็นว่าชอบมาก มึงดูเถอะ มากกว่านั้น คือเขาวิเคราะห์สิ่งต่างๆ ในซีรีส์ตามความชำนาญที่เขามี เช่นคนที่ชำนาญเรื่องเสื้อผ้าก็วิเคราะห์เรื่องเสื้อผ้าตัวละคร คนที่ชอบกินอาหารก็ไปแนะนำร้านอาหารตามรอย เหมือนกับเขาดูจบแล้วเขาอยากแชร์ว่าเขารู้สึกบางอย่างกับซีรีส์นะ มันเป็นความรู้สึกพิเศษ”

จากมหาลัยเหมืองแร่ สู่ มหาลัยเหมืองทราย

พี่เก้ง : “ทีมอาร์ตในเรื่องนี้ ชื่อพี่แก่ (ศราวุธ แก้วน้ำเย็น, โปรดักชัน ดีไซเนอร์) เป็นลูกน้องของพี่เอก เอี่ยมชื่น ที่เป็น อาร์ต ไดเรกเตอร์สมัยผมทำ ‘มหา'ลัย เหมืองแร่’ พี่แก่เขาอยากทำทริบิวต์รุ่นพี่ จึงเอาป้ายที่เขียนว่า ‘เหมืองกระโสม’ ในหนังมหาลัยเหมืองแร่ มาใช้เป็นแบบของป้ายในเรื่องสงคราม ส่งด่วน เขียนว่า ‘เหมืองทรายวังเหนือ’ ทำซะเหมือนเลย

เมื่อซีรีส์ ไม่ได้เติมไฟให้แค่คนดู แต่ยังกลับมาสู่คนสร้าง

พี่เก้ง : “ผมสนุก เวลาที่ได้เห็นตัวละครบ้า แอคทีฟ มุทะลุ ใช้วิธีการแก้ปัญหาของตัวเองด้วยกำลังใจเต็มเปี่ยม เวลาไหนที่กำลังใจลด ก็มีคนมาตบหน้า บอกให้ลุกขึ้นมา เราเห็นภาพทุกตัวละครมีพลังมากอย่างไม่น่าเชื่อ แม้เราจะเรารู้ว่านี่คือฟุตเทจที่ถ่ายขึ้นมาก็ตาม”
.
“ช่วงเวลาที่ตัดต่อ มันเป็นอะไรที่สนุกมากเลย ผมบอกได้เลยว่า ทุกสิ่งที่คนดูรู้สึก ตอนดูตัดต่อผมรู้สึก เราไม่รู้หรอกนะ ว่าซีรีส์จะประสบความสำเร็จหรือไม่ แต่เราอยากให้คนดูรู้สึกเหมือนที่ผมรู้สึก อย่างช่วงที่ Thunder เขาขัดแย้ง เข้าใจผิดกัน เราก็เอาใจช่วยเขา มึงดีกันเร็วๆนะโว้ย มันจะล่มกันหมดทั้งบริษัทแล้วเนี่ย คือซีนต่างๆ เหล่านี้ มันจะเห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เราก็ยังรู้สึกกับมันทุกครั้งเลย ดูไปก็ยังรู้สึกว่า พวกเขาไม่เหมือนตัวละคร แต่เป็นคนจริงๆ ที่เราเอาใจช่วยเขามากขนาดนี้ เหมือนเราเป็นพวกเขาเดียวกับเขา” 

 .

พี่วัน: “มันเป็นมุมของการได้ลองอะไรที่ไม่เคยทำ มันท้าทาย และเราก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในปลายทาง น้องๆ นักแสดง ทีมงานทุกๆ คน เขามาร่วมแรงร่วมใจ มาผจญภัย มาจับมือและเดินไปด้วยกัน ไม่มีใครคาดหวังว่าถึงตอนท้าย เราจะพาเรื่องนี้ไปถึงจุดไหน มันคือความสวยงามของการทำอะไรเป็นครั้งแรก เราจะไม่มีความกลัว เพราะเราไม่รู้ว่าด้วยซ้ำว่าจะกลัวอะไร ความไม่รู้มันทำให้เรากล้า บางทีรู้มากไป ก็จะทำให้กลัวเกินไป”
.
“ตอนที่เราเขียนในบทไปว่า โกดังต้องใหญ่ กล่องพัสดุต้องเป็นหมื่น ตัวละครต้องเป็นคนจีนที่พูดไทยได้ โดยที่เราก็ยังไม่รู้หรอก ว่าจะหาใครมาเล่น ทุกอย่างเขียนไปเพราะความรู้สึกว่า อยากให้เป็นอย่างนั้น เพราะมันจะทำให้เรื่องสนุก ก็ท้าทายตัวเองว่าคิดได้ เขียนได้ ก็ต้องทำจริงให้ได้ มันสนุกตรงที่เรากล้าทำในสิ่งที่ชาเลนจ์ และทีมทุกคนก็ชาเลนจ์ไปด้วยกันจนถึงที่สุด” 
.
“ตอนได้รับฟีดแบคมา มันให้แรงบันดาลใจมากนะ วันกับพี่เก้ง ไม่เคยทำซีรีส์ฉาย NETFLIX มาก่อน ไม่รู้หรอกว่าที่เราทำ คนจะดูมากน้อยแค่ไหน จะมีเสียงตอบรับยังไง ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องใหม่ที่เรารู้สึกว่ามันตื่นเต้นเราเวลาลุกขึ้นมาทำอะไรใหม่ๆ”