ความลับข้อหนึ่งในการสร้างสรรค์ผลงานของ แคลร์ จิรัศยา วงษ์สุทิน ผู้กำกับภาพยนตร์ที่เคยทำหนังสั้นชนะรางวัลระดับประเทศมาแล้วมากมาย รวมไปถึงผลงานบทภาพยนตร์อย่าง
‘ฝากไว้ในกายเธอ’, ‘HOMESTAY’ และผลงานกำกับซีรีส์อย่าง ‘ONE YEAR 365 วัน บ้านฉัน บ้านเธอ’ นั่นคือการได้ใช้ความคิด และจินตนาการ ภายใต้บ้านบนตึกสูงที่เรียกว่า
“แฟลต” สถานที่ที่เธอเกิดและเติบโต
และเมื่อแคลร์มีโอกาสได้ทำหนังเรื่องแรกในชีวิต เธอจึงคัดสรรประสบการณ์จริงที่เคยอาศัยอยู่ใน ‘แฟลตตำรวจ’ ที่พักสวัสดิการข้าราชการตำรวจในรูปแบบตึกหลายชั้น สู่ภาพยนตร์ ‘แฟลตเกิร์ล ชั้นห่างระหว่าง เ ร า’ เรื่องราวความรัก ความฝัน ความต่าง และการข้ามผ่านวัย ที่ไม่เพียงถ่ายทำในแฟลตตำรวจจริง แต่ยังใช้ห้องพักจริงที่แคลร์เคยใช้ชีวิตอยู่ตอนเด็กมาเป็นโลเคชันหลักอีกด้วย
“เมื่อทำหนังยาวเรื่องแรก แคลร์รู้สึกว่าอยากทำเรื่องที่มันเป็นตัวเรามากที่สุด ซึ่งแคลร์เป็นลูกตำรวจที่อยู่แฟลตตำรวจมาตั้งแต่เกิด เมื่อโตมาจึงได้รู้ว่าจริงๆ เราเติบโตมาในพื้นที่ค่อนข้างเฉพาะตัว ตอนเด็ก เวลาครูให้วาดรูปบ้าน บ้านเราจะไม่ใช่บ้านที่เป็นหลังคา แต่เป็นตึก เราอยู่ในห้องห้องหนึ่งในตึก มีเพื่อนเล่นเต็มไปหมด เราผ่านประสบการณ์ที่โตมากับเพื่อนมากมาย แล้ววันหนึ่งต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไปเติบโต เลยรู้สึกว่ามีความผูกพันบางอย่างที่เราอยากถ่ายทอดออกมาในหนังเรื่องนี้ค่ะ”
“แฟลตตำรวจที่แคลร์เคยอยู่ จะมีหลายตึก อยู่กันเป็นร้อยๆ ครอบครัว ส่วนใหญ่เป็นครอบครัวตำรวจชั้นผู้น้อย มาจากต่างจังหวัด ซึ่งพอมีหลายบ้านมากๆ มันก็จะมีฐานะ มียศต่างกัน ซึ่งตอนเด็ก เราไม่รู้สึกถึงความแตกต่างเท่าไร เมื่อโตขึ้น เราจะเริ่มเห็นความลำบากของพ่อแม่ เริ่มรู้แล้วว่าการใช้ชีวิตของแฟลตจริงๆ ของแต่ละครอบครัว มันมีการดิ้นรนที่ต่างกัน เราได้รู้ว่าไม่สามารถอยู่ที่นี่ไปได้ตลอดชีวิต*”
“ก็เหมือนตัวละครของ ‘เจน’ กับ ‘แอน’ หรือ ‘อาตอง’ ที่จริงๆ แล้วแต่ละคนจะมีเรื่องราวที่เขาต้องดิ้นรนให้ชีวิตเดินต่อไป มันอาจทำให้มากระทบกับความความสัมพันธ์ หรือว่าความหวังที่จะได้อยู่ด้วยกันที่นี่ตลอดไป มันอาจมีเรื่องราวชีวิตของผู้ใหญ่ที่เข้ามา ทำให้การอยู่ด้วยกันที่นี่ต่อไปมันเป็นเรื่องยาก”
(*ผู้รับราชการตำรวจ และครอบครัวที่พักอาศัยในแฟลตตำรวจ จะหมดสิทธิ์อยู่ต่อ เมื่อผู้รับราชการฯ เสียชีวิต, เกษียณอายุราชการ, ลาออก, มีบ้านพักของตัวเอง หรือ ละเมิดกฎใดๆ ในระเบียบปฎิบัติ
อ้างอิงข้อมูล : https://www.welfarepolice.com/.../90-0-2010080875300ML.pdf )
“เด็กแฟลตจะเติบโตมาในชุมชนที่ค่อนข้างอบอุ่น สนิทกัน ทุกคน ทุกห้องรู้จักกันหมด รู้สึกว่าเราโชคดีที่โตมาในที่ที่มีเพื่อนเยอะมาก มีเพื่อนบ้านเป็นร้อยคน ไปโรงเรียน กลับมาแฟลต แล้วก็ออกไปเล่นกับเพื่อน แฟลตเป็นเหมือนสนามเด็กเล่นที่ใหญ่มาก เป็นเด็กที่ไม่เคยเหงาเลยค่ะ”
“ในแฟลตจะเป็นแหล่งรวมวัยรุ่นหลากรูปแบบ หลายพื้นเพครอบครัว แม้ครอบครัวเราจะเป็นตำรวจเหมือนกันก็ตาม เหมือนเวลาวัยรุ่นมารวมตัวกัน ก็จะมีการเข้ากลุ่มแก๊ง และเปรียบกันว่าแก๊งชั้นดีกว่าแก๊งเธอ บางทีก็จะหมั่นไส้กันเอง เพราะต้องมาใช้ส่วนกลางร่วมกัน อย่างเช่นคอร์ทตีแบต ที่ต้องมาเปรียบเทียบกันว่าใครเก่งกว่าใคร”
“โปรดักชันดีไซน์ที่ทำให้แฟลตมีสตอรี่อย่างที่เราอยากเล่า เป็นผลงานของ พี่ไฝ (พัชร เลิศไกร, ออกแบบงานสร้าง) จากที่พี่เขาทำใน
‘หลานม่า’ คือสุดๆ ไปเลย เราไม่คิดว่าแต่ละฉากเป็นการเซ็ตขึ้นมา มันดูจริง ดูมีชีวิตมากๆ งานพี่เค้ามีทั้งความเรียลลิสติก และความละเอียด ซึ่งพี่ไฝเหมาะมากๆ ที่จะมาทำเรื่องนี้ แล้วน้องในทีมพี่ไฝก็เคยอยู่แฟลตตำรวจมาก่อนเหมือนกัน ยิ่งได้คุย ก็ยิ่งรู้สึกว่าเราน่าจะเข้าใจกัน เห็นภาพไปในทางเดียวกัน”
“การแต่งห้องจะเบสออนตัวละครหมดเลยค่ะ เช่น พี่แอนที่มีความฝันอยากเป็นแอร์ ซึ่งตอนที่เราไปดูโล ก็ไปเจอห้องนึงที่เค้าติดวอลเปเปอร์ลายก้อนเมฆ แล้วมันเหมาะมากๆ ที่จะเอามาใช้กับคนที่มีความฝันอยากเดินทางรอบโลกอย่างพี่แอน หรือบ้านน้องเจน ที่แม่ของเขาจะห่วงภาพลักษณ์ อยากให้บ้านดูดีกว่าบ้านอื่นๆ การตกแต่งก็จะมีความหรู มีเฟอร์นิเจอร์ไม้สัก มีเหล้านอก เข้าไปก็จะเห็นแต่ความเป็นแม่ ไม่มีความเป็นเจนในบ้านนั้นเลย ก็เหมือนกับตัวเจนที่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร โตไปอยากเป็นอะไร หรือชอบเพศไหน”
“ด้วยความที่แฟลตมีความพิเศษ มีชีวิตอยู่ในตัวสถานที่อยู่แล้ว ซึ่งพี่ก๊อย (บุณยนุช ไกรทอง, กำกับภาพ) นอกจากจะมีดวงตาที่สามารถถ่ายสถานที่ให้ออกมามีชีวิต เหมือนได้อยู่ที่แฟลตนั้นไปด้วยกันแล้ว ยังทำให้เห็นถึงสิ่งที่กั้นระหว่างโลกข้างนอกกับโลกข้างใน เป็นความเรียลลิสติกที่ขับคาแรคเตอร์ของแฟลตให้ออกมาชัดที่สุดผ่านงานภาพ ที่สำคัญ พี่ก๊อยยังถ่ายทอดภาพผู้หญิงจากมุมมองของผู้หญิงออกมาได้ตรงตามที่เรารู้สึกจริงๆ”
“แฟลตเกิร์ลฯ เป็นหนัง Coming of Age ว่าด้วยความสัมพันธ์อันสวยงามของเด็กผู้หญิงสองคน แม้ว่าจะเกิดในสถานที่ที่ซึ่งคนภายนอกจะมองว่ามันดูหดหู่หรือดูไม่น่าอยู่ แต่จริงๆ แล้วมันเป็นบ้าน เป็นชุมชน เป็นความแน่นแฟ้น และเป็นมุมมองที่เล่าจากคนที่อยู่ที่นั่นจริงๆ ซึ่งเราอยากถ่ายทอดสิ่งนี้เข้าไปในหนัง”
“แม้ว่าคนดูอาจจะไม่ได้มีประสบการณ์หรือชีวิตเหมือนในหนัง แต่ความเป็นเด็กผู้หญิงที่อยู่ในประเทศไทย มันน่าจะเชื่อมโยงถึงกันได้ ถ้ามาดู ก็จะได้เห็นตัวเอง เห็นเพื่อน หรือเห็นเด็กวัยรุ่นสมัยนี้ ว่าเขากำลังต่อสู้กับอะไร สู้กับตัวเอง กับความฝัน กับสิ่งแวดล้อม หรือกับประเทศที่มันเป็นแบบนี้อยู่ คิดว่าน่าจะได้เห็นสิ่งเหล่านี้ค่ะ”